Intel Core i3
มาเริ่มกันที่น้องเล็กก่อนเลย อย่างตระกูล Core i3 ที่จัดเป็นตระกูลที่ไม่โดดเด่นมากนัก เนื่องด้วยถูกรุ่นใหญ่กว่าข่ม แต่ก็ยังถือว่าเป็นรุ่นที่น่าคบหาสำหรับผู้ที่ต้องการเครื่องสำหรับใช้งานทั่วไปแบบเบาๆ ราคาสบายกระเป๋า แต่อาจจะไม่ค่อยเห็นในการนำไปใช้เล่นเกมแบบจริงจังนัก เนื่องด้วยการลดประสิทธิภาพบางประการลงมาจากรุ่นใหญ่ เช่นการตัด Turbo Boost ออกไป อีกทั้งผู้ผลิตโน๊ตบุ๊กก็มักจับ Core i3 ไปอยู่ในเครื่องแบบใช้การ์ดจอ Intel HD Graphics ซะเป็นส่วนใหญ่ จะมีที่เป็นการ์ดจอแยกมาในตัวค่อนข้างน้อยรุ่น จึงทำให้คนมักมองข้ามไป
แต่ก็อย่างที่บอกไปตั้งแต่ต้นนะครับ ว่า Intel Core i3 นั้นเหมาะกับผู้ที่ใช้งานแบบธรรมดาทั่วๆไป เช่นเล่นเน็ต พิมพ์งาน ดูหนัง เกมออนไลน์ ซึ่งสามารถทำได้อย่างสบายๆ ไม่จำเป็นจะต้องไปซื้อรุ่นที่ใช้ CPU สูงกว่านี้ก็ได้ โดยในตลาดขณะนี้จะมีให้เลือกด้วยกัน 3 รุ่น คือ
- Intel Core i3-2310M : 2.10 GHz / 2 cores 4 threads / L3 cache 3 MB
- Intel Core i3-2330M : 2.20 GHz / 2 cores 4 threads / L3 cache 3 MB
- Intel Core i3-2350M: 2.30 GHz / 2 cores 4 threads / L3 cache 3 MB
ถ้ามองจากสเปกก็จะพบว่า Intel Core i3 ในแต่ละรุ่นไม่ต่างกันมากนัก โดยเฉพาะความเร็ว ที่ในการใช้งานจริงแทบจะไม่มีความแตกต่างกันในการทำงานเลย เว้นแต่ว่าจะเอาไปเรนเดอร์งานหนักๆ ที่อาจจะเห็นผลต่างอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นมากมายอะไร แต่เอาเข้าจริงๆ มันก็ไม่เชิงว่าถูกต้องตามวัตถุประสงค์การใช้งานที่ Intel ออกแบบมาซักเท่าไร
เมื่อมามองจากรุ่นโน๊ตบุ๊คที่ใช้ Core i3 ในท้องตลาด ถ้าให้เทียบราคาระหว่างรุ่นล่างสุดของ i3-2310M กับ i3-2350M จะพบว่าแตกต่างกันแค่หลักร้อยเท่านั้น หรือแทบจะไม่ต่างกันเลยก็ว่าได้ ส่วนในรุ่นบนๆ นั้นแน่นอนว่าจะต้องมีความแตกต่างกันในด้านสเปก แต่จะเป็นสเปกส่วนอื่นซะมากกว่า เช่น รุ่นราคาสูงหน่อยก็จะมีการ์ดจอมาด้วย เป็นต้น แต่ราคาของเครื่องที่ว่านั้นก็ไปแตะหลักเดียวกันกับราคาของเครื่องที่ใช้ CPU ที่เป็น Core i5 ไปซะแล้ว แต่รุ่นที่ใช้ Core i3 ก็ยังคงมีข้อดีอยู่ นั่นคือความร้อนที่น้อยกว่ารุ่น Core i5 อย่างเห็นได้ค่อนข้างชัด ซึ่งในบางรุ่นก็ต่างกันหลัก 10 องศากันเลย
ถ้าจะให้ฟันธงว่าจะเลือก Core i3 รุ่นไหนน่าซื้อสุด คุ้มสุด ก็ขอแนะนำเป็นรุ่นกลางๆอย่าง Intel Core i3-2330M แล้วกันครับ เพราะเป็นรุ่นที่ค่อนข้างสมดุล ราคาเครื่องก็ไม่แพงเกินความจำเป็นนัก แถมยังมีตัวเลือกในตลาดให้เลือกค่อนข้างเยอะอีกด้วย
Intel Core i5
มาถึงรุ่นกลางที่มีความหลากหลายในตลาดที่สุดกันแล้วครับ ที่มันหลากหลายก็เพราะบรรดาผู้ผลิตโน๊ตบุ๊คต่างขนรุ่นที่ใช้ CPU เป็น Core i5 ลงสู่ตลาดกันมากมายเหลือเกิน ซึ่งจุดประสงค์ที่ทาง Intel ส่ง Core i5 มานั้น ก็เพื่อตอบสนองการใช้งานในระดับกลางๆ ไม่ว่าจะทั้งพิมพ์งาน ทำงาน ดูหนัง เล่นอินเทอร์เน็ตก็สบาย จะเล่นเกมหนักๆ เกมเบาๆ ก็สามารถทำได้อย่างไม่มีปัญหา เรียกได้ว่าเป็น CPU ที่มีประสิทธิภาพต่อราคาอยู่ในระดับคุ้มค่าเลยทีเดียว อีกทั้งยังมีเครื่องที่มาพร้อมสเปกที่หลากหลายให้เลือกใช้งาน ไม่ว่าเรื่องของการ์ดจอแยก เรื่องของขนาดหน้าจอ เรื่องของพอร์ตเชื่อมต่อ แถมยังมีให้เลือกเกือบจะครบทุกช่วงงบประมาณตั้งแต่ไม่สูงมากจนกระทั่งระดับ high-end กันเลย
โดยตลาดในไทยจะมี Core i5 อยู่หลักๆ ด้วยกัน 3 รุ่น ดังนี้
- Intel Core i5-2410M : 2.30 GHz / 2 cores 4 threads / L3 cache 3 MB / Turbo Boost up to 2.90 GHz
- Intel Core i5-2430M : 2.40 GHz / 2 cores 4 threads / L3 cache 3 MB / Turbo Boost up to 3.00 GHz
- Intel Core i5-2450M : 2.50 GHz / 2 cores 4 threads / L3 cache 3 MB / Turbo Boost up to 3.10 GHz
ก็ยังคงเป็น step เดียวกับ Core i3 ครับ นั่นคือขยับขึ้นทีละ 100 MHz ทำให้หลายคนอาจจะชั่งใจว่าจะซื้อรุ่นไหนดี ซึ่งทางเราขอแนะนำว่า ถ้าเป็นไปได้ พยายามตัดรุ่นที่ใช้ Core i5-2410M ออกไปก่อน เนื่องด้วยของเริ่มขาดตลาดแล้ว เพราะเป็นรุ่นเก่าสุดในตลาด ตัวที่น่าสนใจมากกว่าก็คือ Core i5-2430M กับ Core i5-2450M
ถ้ามองแยกตามช่วงราคา ในช่วงที่ไม่เกิน 20,000 บาท ในกลุ่มนี้ Intel Core i5-2430M จะน่าสนใจสำหรับคนที่ต้องการกราฟฟิกด้วย เพราะรุ่นที่ใช้ i5-2450M ในช่วงราคาต่ำกว่า 20,000 บาทนั้น มักจะมาพร้อมกับกราฟฟิกออนบอร์ด Intel HD Graphics (ที่จริงต้องเรียกว่าการ์ดจอใน CPU)
พอมาดูในกลุ่มของเครื่องที่ราคาเกิน 20,000 บาท จะพบว่ารุ่นที่ใช้ Core i5-2450M ก็เริ่มมีการ์ดจอแยกใส่เข้ามาด้วยแล้ว ทำให้เกิดข้อเปรียบเทียบขึ้นมามากทีเดียวว่าจะซื้อรุ่นไหนดี ถ้าดูจากผลเทสทั้งที่เราเคยเทสมา รวมไปถึงผลเทสจากเว็บต่างประเทศ ก็จะพบว่าคะแนนที่ได้ต่างกันไม่มากนัก จนไม่น่าจะส่งผลกับการใช้งานปกติอย่างเห็นได้ชัด แต่ถ้างานไหนที่ต้องใช้ CPU คำนวณมากๆ เช่น การเรนเดอร์กราฟฟิก การรันโปรแกรมหนักๆ อันนี้อาจจะเห็นผลต่างกันบ้างเล็กน้อยครับ
ดังนั้น NBS ขอฟันธงเลยว่า Intel Core i5-2450M น่าเล่นสุดครับ เนื่องด้วยความครบเครื่องในเรื่องของประสิทธิภาพ รวมไปถึงการ์ดจอในเครื่องที่มีให้เลือกหลากหลายรุ่น หลายหลายประสิทธิภาพกว่า ตั้งแต่รุ่นออนบอร์ดไปจนกระทั่ง NVIDIA GT 630M ตัวล่าสุด แถมราคาก็ต่างกับรุ่นที่ใช้ Core i5-2430M ไม่มาก จำนวนรุ่นที่มีให้เลือกก็เท่าๆกันอีกด้วย
Intel Core i7
ปิดท้ายด้วยพี่ใหญ่อย่าง Core i7 กันบ้าง ในกลุ่มนี้ตัวเลือกด้าน CPU ในตลาดจะมีให้เลือกไม่ค่อยมากนัก แต่ส่วนที่มาอัพราคาให้แต่ละรุ่นมันต่างกันมากที่สุดก็คือส่วนประกอบอื่นๆ ได้แก่ การ์ดจอ พอร์ตเชื่อมต่อ ขนาดจอ วัสดุ ที่มีให้เลือกตั้งแต่แบบดีกว่าธรรมดาเล็กน้อยไปจนถึงระดับสุดยอดของบรรดาโน๊ตบุ๊ค ซึ่งก็เหมาะกับจุดประสงค์ที่ Intel ออกแบบมา นั่นคือต้องการให้ Core i7 นั้นเป็น CPU ที่รองรับการใช้งานหนักๆได้อย่างสบาย ไม่ว่าจะทั้งเล่นเกม สำหรับฮาร์ดคอร์เกมเมอร์ การเรนเดอร์ไฟล์ 3D ด้วยโปรแกรมสามมิติ การคำนวณทางคณิตศาสตร์ หรือแม้แต่กระทั่งจะใช้งานเล็กๆ ทั่วไปก็ยังใช้งานได้อย่างไม่มีปัญหา
ซึ่งในตลาด รุ่นที่พบกันบ่อยก็จะเป็น
- Intel Core i7-2630QM : 2.00 GHz / 4 cores 8 threads / L3 cache 6 MB / Turbo Boost up to 2.90 GHz
- Intel Core i7-2670QM : 2.20 GHz / 4 cores 8 threads / L3 cache 6 MB / Turbo Boost up to 3.10 GHz
- Intel Core i7-2720QM : 2.20 GHz / 4 cores 8 threads / L3 cache 6 MB / Turbo Boost up to 3.30 GHz
- Intel Core i7-2760QM : 2.40 GHz / 4 cores 8 threads / L3 cache 6 MB / Turbo Boost up to 3.50 GHz
โดยถ้ามองในตลาดกันจริงๆ รุ่นที่ได้รับความนิยมมากจะเป็น Core i7-2630QM และ Core i7-2670QM เนื่องด้วยมีประสิทธิภาพกำลังดี โดยเฉพาะ Core i7-2630QM ที่ออกมาก่อน โดยมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เป็น Core i7 รุ่นเดียวในตลาดโน๊ตบุ๊ค จึงทำให้เป็นที่นิยมกันมากสำหรับผู้ที่ต้องการเครื่องประสิทธิภาพสูง
ส่วน Core i7-2760QM นั้นถือได้ว่าเป็นรุ่นภาคต่อของ Core i7-2630QM ที่มีการเพิ่มความเร็วขึ้นมาอีกเล็กน้อย ซึ่งความเร็วที่เพื่มมานี้ จะเห็นผลได้ชัดในกรณีที่มีการเรนเดอร์งานหนักๆ ส่วนในการเล่นเกมนั้นมีผลน้อยมากครับ เนื่องจากไปเน้นที่การ์ดจอซะมากกว่า ดังนั้นการเลือกซื้อเครื่องที่ใช้ Core i7 นี้คงไม่ยากมากนัก เพียงแค่มองเรื่องของการ์ดจอหรือสเปกอื่นๆ เช่น HDD, RAM หรือขนาดจอและพอร์ตเชื่อมต่อเป็นหลักจะดีกว่า เพราะตัว CPU มันทำงานได้แทบไม่ต่างกันเลย เพราะการใช้งานของเครื่องกลุ่มนี้มักจะออกไปทางใช้เล่นเกมซะมากกว่า
ส่วนในตัวของ Core i7-2720QM และ Core i7-2760QM นั้น ออกจะหาได้ค่อนข้างน้อยไปซักนิดนึง จะมีก็ในรุ่นท็อปของแต่ละแบรนด์กันซะเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งก็คงมีตัวเลือกไม่มากนัก
แต่กับกลุ่มของรุ่น Core i7-26xx นั้น ถ้าให้ NBS ฟันธงตัวที่คุ้มที่สุด ก็คงจะให้เป็น Intel Core i7-2630QMก็เพียงพอแล้วครับ เนื่องด้วยมีตัวเลือกให้เลือกมากกว่า โดยเฉพาะเรื่องของสเปกโดยรวมที่แรงกว่าทั้งการ์ดจอและพอร์ตเชื่อมต่ออื่นๆ
2. Multi-Tasking Multi-User คืออะไร
คุณสมบัติการทำงาน ระบบปฏิบัติการโดยทั่วไปจะมีคุณสมบัติในการทำงานแบบต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
การทำงานแบบ Multi – Tasking คือ ความสามารถในการทำงานได้หลาย ๆ งาน หรือหลาย ๆ โปรแกรม
ในเวลาเดียวกัน เช่น พิมพ์รายงานควบคู่ไปกับการท่องเว็บ ซึ่งในสมัยก่อนการทำงานของระบบปฏิบัติการ
จะอยู่ในรูปแบบที่เรียกว่า single-tasking ซึ่งจะทำงานทีละโปรแกรมคำสั่ง ผู้ใช้ไม่สามารถที่จะสลับงาน
ไประหว่างโปรแกรมหรือทำงานควบคู่กันได้ แต่สำหรับในปัจจุบันจะพบเห็นลักษณะการทำงานแบบนี้มาก
ขึ้น เช่น ในระบบปฏิบัติการ Windows รุ่มใหม่ ๆ ซึ่งทำให้การใช้งานได้สะดวกและทำงานได้หลาย ๆ
โปรแกรม
| |||
การทำงานแบบ Multi - Tasking
| |||
การทำงานแบบ Multi – User ในระบบการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เข้าไว้ด้วยกันแบบเครือข่าย
ระบบปฏิบัติการที่ทำหน้าที่ควบคุมจะมีคุณสมบัติอย่างหนึ่งที่เรียกว่า multi-user หรือความ
สามารถในการทำงานกับผู้ใช้ได้หลาย ๆ คน ขณะที่มีการประมวลผลของงานพร้อม ๆ กัน
ทำให้กระจายการใช้ได้ทั่วถึงมากยิ่งขึ้น
| |||
การทำงานแบบ Multi – User
| |||
ระบบปฏิบัติการ Linux คืออะไร
|
Linux เป็นระบบปฏิบัติการแบบ UNIX - compatible ตัวหนึ่งที่ทำงานบนเครื่อง
คอมพิวเตอร์ ตั้งแต่ระดับพีซี (PC) พัฒนาขึ้นเป็นครั้งแรก ในปี ค.ศ. 1991 โดยนักศึกษาชื่อ Linus B. Torvalds ณ University of Helsinki ประเทศฟินแลนด์ ในลักษณะของงานอดิเรก โดยมีแรงบันดาลใจมาจากระบบ Minix ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการคล้ายๆ UNIX เล็กๆ ตัวหนึ่งที่พัฒนาโดย Andy Tanenbaum เพื่อประกอบการเรียนรู้ ในหนังสือเกี่ยวกับ การออกแบบระบบปฏิบัติการ คอมพิวเตอร์ |
Linux Version 0.01 ถูกแจกจ่ายให้ทดลองใช้ประมาณปลายเดือน ส.ค. 1991
โดยมีเฉพาะ Harddisk Driver และระบบไฟล์ขนาดเล็ก ให้ใช้เท่านั้น ไม่มีแม้แต ่ Floppy Disk Driver และต้องมีระบบ Minix อยู่แล้ว จึงจะสามารถทำการคอมไพล ์ และทดลองใช้งานได้ เนื่องจากยังไม่มีโหลดเดอร์ และคอมไพเลอร ์ ต้องอาศัยการคอมไพล์ข้ามระบบ และบูตระบบผ่าน Minix |
Linus เปิดตัว Linux อย่างเป็นทางการในวันที่ 5 ตุลาคม 1991 ด้วย Version 0.02
ซึ่งยังคงเป็นระบบปฏิบัติการ สำหรับผู้พัฒนาโปรแกรมระบบอยู่ จนกระทั่ง ได้เปิดตัว Version 1.0 ในเดือนมีนาคม 1994 และเริ่มมีผู้ใช้กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากเป็นระบบปฏิบัติการคล้าย UNIX ที่สมบูรณ์แบบ มีความสามารถสน ันสนุนกราฟิก X Window สนับสนุนระบบเครือข่าย TCP/IP สามารถรับส่งอีเมล์ ทำหน้าที่เป็น News, WWW, FTP Server ได้ และความสามารถอื่นๆ อีกมาก |
สำหรับจุดเด่นที่น่าสนใจของ Linux ได้แก่
|
*เป็นระบบปฏิบัติการที่ใช้งานได้ฟรี
|
*ทำงานได้บนเครื่องพีซีทั่วไป ที่มีหน่วยประมวลผลกลางตั้งแต่ 80386 ขึ้นไป
รวมถึง Motora 680x0, Compaq (Digital) Alpha, PowerPC, SPARC เป็นต้น จึงเป็นระบบปฏิบัติการที่มีความต้องการทรัพยากรของระบบในขั้นต่ำ |
*สามารถทำงานได้รวดเร็ว เนื่องจากมีระบบการจัดการหน่วยความจำเสมือน
(Virtual Memory) การจัดทำงานแบบ Multitasking และระบบป้องกันการรบกวน การทำงานระหว่าง Process ต่างๆ |
*มีกลุ่มผู้ใช้งานบนอินเทอร์เน็ตค่อนข้างสูง ทำให้ข้อบกพร่องต่างๆ ถูกค้นพบ
และหาวิธีแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เป็นระบบปฏิบัติการที่มีคุณภาพสูงระบบหนึ่ง |
*มีความสามารถแบบ UNIX
|
* สามารถใช้งานร่วมกับดอส (DOS) และ Microsoft Windows โดยการแบ่งพาติชั่น
|
*ความสามารถในการใช้งานไฟล์ร่วมกับระบบปฏิบัติการอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น DOS,
Microsoft Windows, NetWare, OS/2, Minix, NFS, System V |
*เป็นระบบปฏิบัติการแบบเปิด เนื่องจากทุกฟังก์ชันมี Source Code แนบมาพร้อม
|
* Linux ออกเสียงได้หลายลักษณะ เช่น ลีนุกซ์, ไลนักซ์, ลีนิกซ์
3.LED OEDแตกต่างกันอย่างไร
1. จอภาพแบบ CRT จอภาพแบบ CRT มีขนาดใหญ่ น้ำหนักมาก ใช้เนื้อที่วางเยอะ เหมือนจอโทรทัศน์
2. จอภาพแบบ LCD
จอ LCD เป็นจอแสดงผลแบบ (Digital ) โดยภาพที่ปรากฏขึ้นเกิดจากแสงที่ถูกปล่อยออกมาจากหลอดไฟด้านหลังของจอภาพ (Black Light) ผ่านชั้นกรองแสง (Polarized filter) แล้ววิ่งไปยัง คริสตัลเหลวที่เรียงตัวด้วยกัน 3 เซลล์คือ แสงสีแดง แสงสีเขียวและแสงสีนํ้าเงิน กลายเป็นพิกเซล (Pixel) ที่สว่างสดใสเกิดขึ้น โดย ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า จอ LCD ไม่เหมือนจอแสดงผลธรรมดาLCD ไม่ใช่แก้ว ( แต่ก็มีบางชนิดที่ มีส่วนผสมของแก้ว เพื่อทำให้จอหนาเป็นพิเศษ ทุบไม่แตก ) แต่ทำมาจากฟิล์มอ่อนบางที่เกิดความเสียหายได้จากกระดาษทิชชู่อย่างหยาบ คลอรีนและสารเคมีอื่นๆในน้ำประปา จอเหล่านี้บอบบางมาก ต้องดูแลอย่างดีและเบามือมากๆ
3. จอภาพแบบ LED
จอ LED ก็คือ การแสดงแสงที่สว่างสดใสมากกว่า มีความคมชัดมากกว่า ทำงานเร็วและประหยัดไฟมากกว่า น้ำหนักเบากว่า สามารถมองจากมุมมองด้านต่างๆได้ทั้งสี่ด้านของจอ แม้ว่าจะมองมุมไหน ก็ยังสามารถเห็นภาพที่คมชัดและสมจริงได้อยู่ดีนั่นเอง
4. จอภาพแบบ OED
จอ OED screen มีขนาดหน้าจอที่ใหญ่ถึง 5 นิ้ว และความละเอียดที่ 960×544 pixel มีระบบ sixaxis มีกล้องหน้าหลัง จอแบบสัมผัส และรองรับระบบ 3G
4.Flash Drive,Thumb drive ,Handy drive คืออะไร
แฟลชไดรฟ์ (Flash Drive) หรือ ที่เราเรียกกันว่า Flash Drive (แฟลชไดรฟ์) Handy Drive (แฮนดี้ไดรฟ์) Thumb Drive (ทัมไดรฟ์) มันคืออะไร มีที่มาอย่างไร
ที่มาคำว่า Flash DriveFlash Drive มีชื่อจริงว่า USB Mass Storage Device ส่วนใหญ่เรียกกันว่า USB Flash Memory Drive , USB Flash Drive Memoryหรือ USB Flash Drive การใช้งานเชื่อมต่อกับ Computer ผ่านทาง Port USB ใช้ Flash Memory เก็บข้อมูล ทำงานเป็น Drive เหมือนHardDisk อ่านและบันทึกข้อมูลได้อย่างเดียวไม่สามารถทำอย่างอื่นได้ ซึ่งเป็นยุคต่อมาจาก Thumb drives ราคาถูกลง ความจุมีมากขึ้น ขนาดของตัว Flash Drive เล็กลงด้วย บางยี่ห้อมีขนาดประมาณ 1 นิ้ว ที่มาคำว่า Thumb drive Thumb drive เป็นชื่อทางการค้า คุณสมบัติเหมือน CD-R, Floppy Disk, Hard Disk เป็นหน่วยความจำ ที่เสริมเข้าไปในคอมพิวเตอร์ทาง Port USB และถือเป็นการเก็บข้อมูลรูปแบบใหม่ คือไม่ ต้องมีตัว Drive ตัว Disk พกพาได้สะดวกมีขนาดเล็กเท่ากับหัวแม่มือ เป็นยุคแรกๆ ของอุปกรณ์จำพวก Flash Drive ความเร็วในการอ่าน เขียน ประมาณ 500KB/Sec มีความจุอยู่ระหว่าง 8 MB –1024MB ในปัจจุบันอาจมีมากขึ้น สำหรับราคาในยุคแรกๆ ราคาสูง ขนาดความจุน้อย ที่มาคำว่า Handy drive Handy drive เป็นชื่อทางการค้า คุณสมบัติและการทำงานเหมือน Flash drive แต่ที่เพิ่มขึ้นมาคือสามารถเล่นไฟล์ Mp3 ไฟล์วีดีโอ ไฟล์รูปภาพ ฟังวิทยุผ่านช่องเสียบหูฟัง และฟังก์ชันอื่นๆ ที่ผู้ผลิตจะใส่ ลงไป ใช้แบตเตอรี่มีทั้งแบบใช้ถ่าน AA , AAA หรือถ่านชาตร์ ซึ่งจะชาตร์ถ่านผ่านทาง Port USB รูปลักษณ์สวยงาม แต่มีขนาดใหญ่กว่า Flash drive เนื่องจากต้องใช้แบตเตอรี่ สำหรับราคาแพงกว่าFlash drive อยู่บ้างเหมาะกับผู้ที่ต้องการใช้งานที่หลากหลาย
http://sirintra12345.blogspot.com/2012/12/crtlcdled-oed-1_6.html
http://adisorn12345.blogspot.com/2013/07/multi-tasking-multi-user.html
http://notebookspec.com
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น